ในปี 2025 นี้ Toyota ยังคงยืนหยัดในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฮบริด ด้วยการเปิดตัวรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Toyota Prius 2025 ที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านดีไซน์ สมรรถนะ เทคโนโลยี และระบบความปลอดภัย โดยยังคงจุดเด่นเรื่องความประหยัดพลังงานและความเชื่อถือได้เช่นเดิม
ดีไซน์ภายนอก – สปอร์ตและแอโรไดนามิกยิ่งขึ้น
Toyota Prius 2025 มาในรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวและล้ำสมัยมากขึ้นกว่าทุกรุ่นก่อนหน้า ด้วยดีไซน์แบบ fastback ที่มีเส้นสายต่อเนื่อง ตัวรถมีความสูงต่ำลงเพื่อให้ลู่ลมมากยิ่งขึ้น ลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Cd) ลงเหลือเพียง 0.27 เท่านั้น
กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แนวเรียบ พร้อมไฟหน้า LED ทรงเพรียวบางเชื่อมต่อด้วย Daytime Running Light (DRL) ที่ดูโดดเด่น กันชนหน้ามีสันเหลี่ยมชัดเจนสื่อถึงความสปอร์ต ส่วนไฟท้ายแนวยาวแบบ light bar เป็นเอกลักษณ์ของ Prius โฉมใหม่
รุ่น Nightshade Edition ที่เพิ่งเปิดตัว มาพร้อมล้ออัลลอยสีดำขนาด 19 นิ้ว กันชนสีดำ และสีตัวถังพิเศษ “Karashi Yellow” เสริมบุคลิกที่แตกต่างจาก Prius รุ่นอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
ห้องโดยสาร – เทคโนโลยีและการใช้งานที่ลงตัว
ห้องโดยสารของ Prius 2025 ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยเน้นความเรียบง่ายแต่ดูพรีเมียม มีการวางจอมาตรวัดดิจิทัลบนแดชบอร์ดให้สามารถมองเห็นได้ในระดับสายตา โดยไม่ต้องก้มลง ซึ่งเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
ระบบอินโฟเทนเมนต์มีขนาดหน้าจอเริ่มต้นที่ 8 นิ้วในรุ่น LE/XLE และเพิ่มเป็น 12.3 นิ้วในรุ่น Limited/Nightshade ซึ่งรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย รวมถึงรองรับระบบเสียงพรีเมียม JBL ในรุ่นสูงสุด
วัสดุภายในเลือกใช้เบาะหนัง SofTex ที่มีความนุ่มและดูหรูหรา เบาะผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า พร้อมระบบทำความร้อนและระบายอากาศในบางรุ่น ช่วยเพิ่มความสบายในการเดินทางทั้งระยะใกล้และไกล
ขุมพลังและระบบขับเคลื่อน – ประหยัดแต่ยังคงสมรรถนะ
Prius 2025 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร M20A-FXS ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุดประมาณ 196 แรงม้า เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ทำงานร่วมกับระบบ Hybrid Synergy Drive ของ Toyota ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและประหยัดน้ำมัน
อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. อยู่ที่ประมาณ 7.2 วินาที ซึ่งถือว่าดีเยี่ยมสำหรับรถไฮบริดในกลุ่มนี้
ในบางรุ่นยังสามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD-i) ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะส่งกำลังให้ล้อหลัง ทำให้ควบคุมรถได้ดีขึ้นในสภาพถนนเปียกหรือมีหิมะ
นอกจากนี้ยังมีรุ่น Prius Prime ซึ่งเป็นปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานในเมืองและสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้สะดวก
เทคโนโลยีความปลอดภัย – ครบเครื่องด้วย Toyota Safety Sense 3.0
Prius 2025 มาพร้อมระบบ Toyota Safety Sense 3.0 เป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ซึ่งรวมถึง:
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรก (Pre-Collision System)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Dynamic Radar Cruise Control)
- ระบบเตือนออกนอกเลนและช่วยประคองรถ (LKA)
- ระบบอ่านป้ายจราจร (RSA)
- ระบบเตือนมุมอับสายตา (BSM)
- กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา (ในรุ่น Limited)
ยังมีฟังก์ชันใหม่ ๆ เช่น Digital Key ที่สามารถใช้สมาร์ตโฟนแทนกุญแจรถ และระบบอัปเดตซอฟต์แวร์ผ่าน OTA ที่เพิ่มความยืดหยุ่นและทันสมัยให้กับตัวรถ
รุ่นย่อยและราคาจำหน่าย (สหรัฐอเมริกา)
รุ่น | ระบบขับเคลื่อน | ราคาเริ่มต้น (USD) |
---|---|---|
LE | FWD | 28,350 |
XLE | FWD/AWD | 31,395 |
Limited | AWD | 36,765 |
Nightshade | AWD | 34,000–36,000 |
ราคาจำหน่ายในประเทศไทยยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่หากมีการนำเข้า คาดว่าราคาจะอยู่ในช่วง 1.2 – 1.5 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับภาษีและออปชัน
จุดเด่นของ Toyota Prius 2025
- ประหยัดน้ำมันระดับแนวหน้า เฉลี่ยถึง 57 mpg (≈ 24 กม./ลิตร)
- ดีไซน์ภายนอกล้ำยุค โฉบเฉี่ยว ไม่จำเจเหมือนรุ่นก่อน
- ระบบขับเคลื่อน AWD-i และรุ่น PHEV ตอบโจทย์หลายกลุ่มผู้ใช้
- ระบบความปลอดภัยครบชุดในทุกรุ่นย่อย
- ระบบอัปเดตซอฟต์แวร์และรองรับการเชื่อมต่อที่ทันสมัย
จุดสังเกต
- อาจไม่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความแรงแบบรถเทอร์โบ
- ความสูงใต้ท้องรถค่อนข้างต่ำ อาจไม่เหมาะกับถนนขรุขระ
- รุ่น PHEV ยังไม่มีการยืนยันว่าจะวางจำหน่ายในไทยหรือไม่
เหมาะกับใคร?
Toyota Prius 2025 เหมาะสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ไฮบริดที่มีดีไซน์สวย ประหยัดน้ำมันสูง มีเทคโนโลยีทันสมัย และต้องการความสบายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในเมืองหรือขับออกต่างจังหวัด รุ่นนี้ตอบโจทย์ทั้งในด้านความประหยัด ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือในระยะยาว
สรุป
Toyota Prius 2025 คือการกลับมาอย่างเต็มรูปแบบของรถไฮบริดรุ่นบุกเบิก ด้วยดีไซน์ใหม่ สมรรถนะที่ดีขึ้น และฟีเจอร์ความปลอดภัยแบบครบชุด ทั้งยังมีตัวเลือกหลากหลายทั้งรุ่นธรรมดา AWD และ PHEV เหมาะสำหรับผู้ใช้งานยุคใหม่ที่ต้องการรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและใช้งานได้อย่างลงตัว