เจาะสเปก GWM TANK 500 รถ SUV แบรนด์พรีเมียมของ GWM หรูหรา ไฮเทคขนาดไหน ก่อนเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการวันที่ 28 กันยายนนี้
GWM เตรียมเปิดตัว GWM TANK 500 อย่างเป็นทางการ 28 กันยายนนี้ หลังนำมาโชว์ตัวและกวาดยอดจองสิทธิ์ซื้อที่งาน Motor Show 2023 ไปแล้วกว่าพันคัน ซึ่งตอนนี้ยืนยันสเปกเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเวอร์ชั่นไทยได้อะไรบ้าง
สำหรับภายนอกของ GWM TANK 500 อย่างที่ได้เห็น หรือสัมผัสคันจริงกันไปบ้างแล้วว่าเป็นรถ SUV ที่มีขนาดใหญ่โต ซึ่งมีความยาว 5,078 มม. กว้าง 1,934 มม. สูง 1,905 มม. ความยาวฐานล้อ 2,850 มม. และเคลมว่าลุยน้ำลึกได้ 800 มม.
ไฟหน้าเป็นแบบ Intelligent LED มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง (Follow Me Home) พร้อม Daytime Running Light และไฟตัดหมอกหน้า-หลังแบบ LED
ขณะที่ด้านท้ายมาในสไตล์ออฟโรดจ๋า ฝาประตูท้ายเปิดออกด้านข้าง ห้อยยางอะไหล่ท้าย พร้อมระบบดูดไฟฟ้าแบบผ่อนแรง และยังมีบันไดข้างเลื่อนเข้า-ออกด้วยระบบไฟฟ้า หลังคามูนรูฟแบบพาโนรามิกขนาดใหญ่ ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถจีนส่วนใหญ่เอาไว้ขยี้รถญี่ปุ่นที่เขาว่าเป็นสายกั๊ก
ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระ ดับเบิล ครอส อาร์ม และระบบกันสะเทือนหลังอิสระมัลติลิงค์ โครงสร้างตัวถังแบบ Body on frame ล้ออัลลอยให้มาเป็นขนาด 20 นิ้ว เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดตัวรถ
ส่วนภายใน GWM TANK 500 พยายามใส่ทุกรายละเอียดเพื่อช่วยยกระดับไปสู่ความหรูหรา ตั้งแต่การเลือกวัสดุสีดำเงา สีโครเมียม สีเงิน และวัสดุลายไม้ แผงคอนโซลหน้าตกแต่งสีทูโทน ติดตั้งจอดิจิทัล 2 จอ มาตรวัดขนาด 12.3 นิ้ว
รวมถึงจอมัลติฟังก์ชันขนาด 14.6 นิ้ว รองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ชุดเกียร์แบบ Electronic Shifter มีนาฬิกาแอนาล็อก ใช้หนัง Nappa หุ้มเบาะ ติดตั้งลำโพง Infinity 12 ตัว พร้อมไฟสร้างบรรยากาศ ระบบแอร์เป็นแบบอัตโนมัติปรับแยกอิสระซ้าย-ขวา มีระบบกรองอากาศ PM2.5 และที่ชาร์จสมาร์ตโฟนไร้สาย
นอกจากนี้ เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า มีระบบนวด เบาะนั่งแถว 2 มีระบบระบายอากาศ มีหน้าจอควบคุมแอร์ และเบาะสามารถแยกพับเบาะได้แบบ 60:40 พร้อมเบาะแถว 3 ที่สามารถพับเรียบได้เมื่อไม่ใช้งาน
ทางด้านขุมพลังจะเป็นเบนซิน ไฮบริด ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบแปรผัน (VGT) ให้กำลังสูงสุด 244 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 106 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 268 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติแบบ 9 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ กึ่งพาร์ตไทม์
โดยสามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ถึง 11 รูปแบบ ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด โหมดอัตโนมัติ และโหมดออฟโรด ซึ่งก็จะทั้ง 4Low และ 4High อีกทั้งยังมีระบบล็อกเฟืองขับหน้า-หลัง ตลอดจนฟีเจอร์ TANK Turn ช่วยกลับรถในพื้นที่แคบด้วยการเบรกล้อหลังด้านในโค้ง
มีระบบประเมินความลึกของน้ำ (Wading Depth Detection) ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) และกล้องเพื่อสร้างภาพเสมือน 360 องศา รอบตัวรถ
มาถึงระบบความปลอดภัยของ GWM TANK 500 จะมีระบบช่วยขับขี่จำนวนมาก เช่น ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันพร้อมช่วยเข้าโค้ง, ระบบควบคุมความเร็วที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ, ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก
ไปจนถึงระบบเตือนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน, ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 เป็นต้น เรียกว่าให้มาเกินกว่ารถ PPV ญี่ปุ่น หรือแม้แต่รถ SUV ยุโรปในราคาพอ ๆ กัน
ทั้งนี้ GWM TANK 500 จะแบ่งเป็น 2 รุ่น คือ ULTRA และ PRO (อุปกรณ์ก็ต้องไปดูอีกทีว่ารุ่นไหนให้อะไรบ้าง แต่สีตัวถังภายนอกจะมี 4 สี ได้แก่ สีขาว สีดำ สีเทา และสีใหม่เทาคริสตัล (เฉพาะรุ่น ULTRA) และสีภายในมี 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีทูโทนน้ำเงิน-เบจ (เฉพาะรุ่น ULTRA ที่เลือกสีเทาคริสตัล)
ที่มา : GWM